tag:blogger.com,1999:blog-90004913050789629292024-03-07T22:44:59.675-08:00ออฟโรดnatcha kapookhttp://www.blogger.com/profile/11581832152207910523noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-9000491305078962929.post-19223735389691662212010-12-17T07:07:00.000-08:002010-12-17T08:17:03.786-08:00การขับขี่ออฟโรด<span style="color: blue; font-family: Tahoma;"> คำว่า <b>"OFF ROAD"</b> มีความหมายชัดเจนคือ เส้นทางที่ขับขี่ไม่ได้วิ่งอยู่บนถนนที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อให้รถยนต์ทั่วไปเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง</span><br />
การขับขี่รถยนต์ OFF ROAD ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศเป็นที่นิยมกันมาก ในปัจจุบันการขับขี่สไตล์แบบนี้กลายเป็นกิจกรรม หรือจะเรียกว่าเป็นงานอดิเรกสำหรับนักลุยทั้งหลาย เพราะการท่องเที่ยวกับการขับขี่ OFF ROAD หรือเข้าไปในพื้นที่ที่บดบังด้วยป่าเขา ซึ่งให้ความเพลิดเพลิน ความตื่นเต้น กับทัศนียภาพอัดงดงามหรือสภาพพื้นที่ภูมิประเทศที่ไม่จำเจ และอาจเป็นผู้ที่ชอบความอิสระกับความเป็นตัวของตัวเอง รักการผจญภัย และเป็นผู้ที่รักธรรมชาติ<br />
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 500px;"><tbody>
<tr><td><div align="center"><img height="166" src="http://www.grandprixgroup.com/new/magazine/offroad/132/go/1.jpg" width="250" /></div></td><td><div align="center"><img height="166" src="http://www.grandprixgroup.com/new/magazine/offroad/132/go/2.jpg" width="247" /></div></td></tr>
</tbody></table><br />
<br />
การขับรถ OFF ROAD ในพื้นที่ทุรกันดารจะไม่มีการบังคับจุดหมาย ท่านมีสิทธิ์ในการขับไปไหนมาไหนได้ตามภูมิประเทศที่เอื้ออำนวย เพราะฉะนั้นประสิทธิภาพของรถยนต์ประเภทขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) จะต้องมีความแข็งแรงคงทนต่อสภาพแวดล้อมไม่ว่า ลุยน้ำ-โคลน เนินชัน หินผา<br />
<br />
<img height="239" src="http://www.thailandoffroad.com/hall/picture/912255021014.JPG" width="320" /><br />
<br />
การขับขี่ OFF ROAD หรือทางวิบากนั้นจะต้องมีความชำนาญพอสมควร ซึ่งทักษะความชำนาญนั้นเกิดจากประสบการณ์ของผู้ขับเอง แต่ไม่ใช่ประสบการณ์ตามท้องถนนในกรุงเทพฯ ที่เหล่านักซิ่งชอบมา ประลองฝีมือกันตอนดึกๆ โดยหลักใหญ่ๆ ในการขับขี่รถยนต์ OFF ROAD ที่ผู้ขับขี่ควรจะตระหนัก นั้นมีอยู่ 5 ประการใหญ่ๆ คือ <br />
1. การควบคุมรถขณะขับขี่เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูง <br />
2. ความปลอดภัยทั้งผู้ขับขี่และผู้ร่วมทาง <br />
3. ควรขับขี่รถให้บอบช้ำน้อยที่สุด <br />
4. ควรศึกษาเส้นทางก่อนที่จะเดินทาง <br />
5. ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมเพื่อสะดวกในการเดินทาง<br />
ไม่ว่าผู้ขับขี่จะมีประสบการณ์มากหรือมีความชำนาญเท่าใดก็ตาม ผู้ขับขี่จะต้องไม่ประมาท เพราะการขับขี่รถ OFF ROAD แต่ละพื้นที่นั้นมีสถานการณ์ไม่เหมือนกัน จะต้องรู้ถึงขีดความสามารถ ของรถท่านเอง<br />
<img height="240" src="http://www.thailandoffroad.com/hall/picture/133255220501.jpg" width="320" /><br />
ทุกครั้งที่ขับขี่ผ่านเส้นทางที่มีความโหด ตัวผู้ขับขี่เองจะต้องวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ข้างหน้าให้ได้ โดยจะต้องลงมาตรวจสภาพเส้นทางก่อนทุกครั้ง จนกว่าจะแน่ใจจึงจะลองพยายามขับผ่านไป เพราะถ้าหากท่านขับลุยไปข้างหน้าลูกเดียวโดยไม่ลงมาสำรวจเส้นทางก่อนล่ะก็ หากรถท่านติดหล่มหรือเป็นอะไรไปท่านจะต้องพักแรมตามจุดนั้นๆ อย่างแน่นอน<br />
ในเบื้องต้นก่อนที่จะเริ่มขับขี่รถยนต์ประเภทขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) นั้น ปกติรถประเภทนี้จะมีระยะห่างระหว่างตัวถังกับพื้นดินมากกว่าปกติ ยิ่งถ้าใช้ยางขนาด 32 นิ้วขึ้นไป รถจะสูงกว่ารถเก๋งธรรมดาทั่วๆไป ควรจะต้องระมัดระวังขณะที่เข้าโค้งหรือเลี้ยวด้วยความเร็วสูงๆ บนถนนปกติ เพราะรถยนต์ OFF ROAD มีโอกาสเสียการทรงตัวได้สูงกว่า<br />
ทุกครั้งที่ขับรถสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดก็คือ ควรจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนทุกครั้ง ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ผู้ขับขี่หลายๆ ท่านอาจจะไม่เข้าใจถึงการขับขี่รถยนต์ OFF ROAD นั้นจะไม่ใช้ความเร็วสูงเท่าไร ทำไมถึงต้องคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย จริงอยู่ถึงแม้การขับขี่รถยนต์ OFF ROAD จะไม่ใช้ความเร็วสูงแล้ว สภาพเส้นทางก็อาจทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารกระทบกระแทกกับอุปกรณ์ต่างๆได้ เช่น พวงมาลัย กระจก ขณะที่ขับข้ามสิ่งกีดขวาง โดยเฉพาะการขับขี่บนทางลาดชัน หลุมบ่อต่างๆ รถอาจจะกระแทกเสียหลัก ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายหรือบาดเจ็บได้<br />
<strong><span style="color: #cc0000; font-family: Tahoma;"> การขับขี่บนเส้นทางไม่ง่าย</span></strong><br />
ในเส้นทางไม่ง่ายก็คือ เส้นทางวิบาก ยิ่งเป็นเส้นทางที่ห่างไกลผู้คนไม่มีใครช่วยท่านได้เลย ฉะนั้นการขับขี่รถยนต์ OFF ROAD ในเส้นทางที่ไม่ง่าย ก่อนอื่นจะต้องใช้เกียร์ให้ถูกต้องไม่เกิน (1-2) และใช้ความเร็วต่ำ และใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4xPart TIME LOW) ขณะที่ขับผ่านเส้นทางที่ไม่ง่าย เช่น บ่อโคลน น้ำ เลน ทราย เป็นต้น<br />
<div align="center"><img height="320" src="http://www.weekendhobby.com/offroad/trip/picture2010/263255316374.JPG" width="211" /></div><br />
ซึ่งผู้ขับขี่จะต้องขับช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันการตีกลับของพวงมาลัยขณะตกหลุม กระแทกสิ่งกีดขวางอย่างกะทันหัน ซึ่งแกนพวงมาลัยอาจทำให้นิ้วโป้งซึ่งปกติจะกำพวงมาลัยอยู่ด้านใน บาดเจ็บได้ จะต้องเข้าใจการใช้เกียร์ของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นอย่างดี จะต้องเลือกเข้าเกียร์ของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ก่อนขับผ่านสิ่งกีดขวาง ปกติเกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีให้เลือก 2 อย่าง คือ PART-TIME เกียร์สโลว์ลงและต่ำเท่านั้น ถ้าทางวิบากที่ใช้ความเร็วต่ำ ควรใช้เกียร์ขับเคลื่อน (PART TIME LOW)<br />
การเหยียบคันเร่ง เมื่อต้องการกำลังเพิ่มขึ้นเพื่อข้ามทางชัน ผู้ขับขี่ต้องตัดสินใจโดยใช้ทักษะกับจังหวะแรงบิดที่เครื่องยนต์สามารถใช้ในรอบที่เหมาะสม โดยบวกกับใช้ความเร็วที่เหมาะสมขับผ่าน เนินชัน<br />
การลงทางลาดชัน ก็เหมือนกัน สิ่งสำคัญจะต้องตรวจดูเสมอว่าเกียร์นั้นจะต้องเป็นเกียร์ 1 ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (PART TIME LOW) ใช้เบรกเล็กน้อย บังคับให้รถค่อยๆ เคลื่อนลงจากเนิน ถ้าทางลื่นควรรักษาพวงมาลัยให้ตรงเสมอ เมื่อบังคับให้ตรงอย่าหักพวงมาลัยเล่นนะ หากตกใจขณะรถลื่นไถลลง เมื่อรถไถลแล้วควรหักพวงมาลัยไปตามทิศทางที่รถไถล ห้ามใช้เบรก (ถอนขาที่เหยียบคันเร่งออก) จนกระทั่งหยุดถึงจะเริ่มบังคับต่อไปได้ <br />
การใช้สายตา ในการขับขี่บนถนนปกตินั้นเราใช้สายตามองตรงทิศทางข้างหน้าที่เป็นถนน แต่ในการขับขี่ OFF ROAD บนเส้นทางที่เป็นป่าเขา ผู้ขับขี่จะต้องมองไปในทุกๆ ทิศทาง เพื่อหาร่องพื้นที่ที่สามารถขับขี่เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางให้น้อยที่สุด แต่ถ้าให้ง่ายต่อการขับขี่จะต้องชะโงกหน้ามาดูสภาพทางข้างตัวรถ สังเกตล้อขณะขับผ่านทางจะไม่ง่ายเลย เช่น บนทราย บ่อโคลน ขับข้ามน้ำ ขับผ่านสะพานสูง โดยเฉพาะเส้นทางที่มีน้ำขังและบ่อเลน การมองล้อหน้าที่ขับผ่านไปจะช่วยให้แก้ไขสถานการณ์ได้ก่อน ถ้าล้อหน้าเริ่มจมก็จะสามารถถอยรถกลับมาตั้งหลักกันใหม่ แต่ผู้ขับขี่จะต้องขับขี่ช้าๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ กล่าวคือความชำนาญในการขับขี่รถขับเคลื่อน 4 ล้อ พัฒนามาจากประสบการณ์การสังเกต ใช้สามัญสำนึกในการแก้ไขปัญหาต่างๆ<br />
<br />
<div align="center"><img height="213" id="imgb" src="http://www.thailandoffroad.com/son/sonboard/picture%5C69255312295.jpg" width="320" /></div> ทั้งหมดนี้คือพื้นฐานเบื้องต้นในการขับขี่รถยนต์ OFF ROAD ความชำนาญในการขับขี่จะพัฒนา ขึ้นเรื่อยๆ ตามประสบการณ์ที่ได้รับ อย่างไรก็ดีการขับขี่รถยนต์ OFF ROAD ในที่ต่างๆ ควรพยายามรักษาสภาพแวดล้อมของธรรมชาติดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด อย่าให้ใครมากล่าวหาว่าพวกขับรถประเภทนี้เป็นพวกทำลายป่าทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ควรจะได้เห็นว่า พวกนี้เป็นพวกรักธรรมชาติและชีวิตอิสระดีกว่านะ !!!natcha kapookhttp://www.blogger.com/profile/11581832152207910523noreply@blogger.com7tag:blogger.com,1999:blog-9000491305078962929.post-74029612079286925462010-12-17T03:22:00.000-08:002010-12-17T03:33:01.764-08:00Thai song ranong "Roj Saetio"<iframe frameborder="0" height="295" src="http://www.youtube.com/embed/o7DhAkjMkhU?fs=1" width="480"></iframe>natcha kapookhttp://www.blogger.com/profile/11581832152207910523noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-9000491305078962929.post-76098672831631432072010-12-17T03:08:00.000-08:002010-12-22T08:49:23.361-08:00เทคนิคการขับรถออฟโรดเบื้องต้น<strong><span style="font-size: large;">การขับรถออฟโรดเบื้องต้น</span></strong><br />
<div align="justify"><span style="color: black; font-family: Verdana;"> การขับรถแบบออฟโรด จำเป็นต้องเจอเส้นทางโหดๆ ถ้าตำแห่งการนั่งที่ไม่ดีเมื่อรถเกิดการสะเทือนตัวเองียงไปเอียงมา หมายความว่า ตัวเราจะเคลื่อนไหวจนไม่สามารถควบคุมรถได้เท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นพวกมาลัย คันเร่ง เบรก หรือ คลัตซ์ ซึ่งมีความสำคัญ การขับรพที่ดีควรเป็นไปอย่าราบเรียบ เมื่อเริ่มรู้สึกเครียดกับการควบคุมบังคับรพ แสดงว่าเราใช้ความเร็วสูงเกินไป ควรลดความเร็วลงบ้าง รถทุกคัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิด จะต้องมีความสามารถในการตอบสนองจากผู้ขับด้วยกันสามประการคือ การเร่ง การเบรก และการเลี้ยว มันเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง การขับขี่นั้นควรเป็นไปอย่างนุ่มนวล และราบเรียบ</span></div><div align="center"><img height="240" src="http://www.thailandoffroad.com/hall/picture/252255123492.JPG" width="320" /></div><br />
<br />
<strong><span style="font-size: large;">ความปลอดภัย</span></strong><br />
ระบบความปลอดภัย ถือเป็นหัวใจของการขับขี่ Off Road ดังนั้นก่อนที่จะเคลื่อนรถ Off Road นั้นก่อนที่จะเคลื่อนรถของท่านออกไป สิ่งแรกที่ควรกระทำคือ การปรับเบาะและพนักพิงให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะกับสรีระของแต่ละท่าน ไม่ชิดกับพวงมาลัยเกินไป หรือห่างจนไม่สามารถจะมองเห็นทัศนวิสัยรอบ ได้ชัดเจน กระจกมองหลังและกระจกมองข้างต้องปรับให้ได้ระดับพอดีให้เรียบร้อย และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการคาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งควรจะให้ชินจนกลายเป็นนิสัย มิใช่เฉพาะแต่การขับในเส้นทาง Off Road เท่านั้น ควรจะคาดตลอดเวลาที่เดินทาง เมื่อทุกหย่างเรียบร้อยแล้วก็พร้อมที่จะออกเดินทางได้ พึงจำไว้เสมอว่าในการขับขี่ในทาง Off Road นั้นจะต้อง “ ตาดู หูฟัง สังเกต “ การควบคุมรถ ตำแหน่ง “ท่านั่ง”<br />
ปรับท่านั้นที่สามารถควบคุมรถที่ดีที่สุด มีทัศนวิสัยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระยะแขนกับพวงมาลัยระยะห่างพอดี สามารถวางระยะขา สามารถควบคุมแป้นเบรก / คันเร่ง / คลัทช์ได้ดี ตำแหน่งการนั่งที่ไม่ดี เมื่อรถเกิดการสั่นสะเทือนเอียงไปเอียงมา หมายความว่า ตัวเราจะเคลื่อนไหวจนไม่สามารถควบคุมบังคับรถได้เท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย คันเร่ง เบรก หรือ คลัทช์ ซึ่งมีความสำคัญมาก การขับรถที่ดีควรเป็นไปอย่างราบเรียบ เมื่อรู้สึกว่าเครียดกับการควบคุมบังคับรถ แสดงว่าเราใช้ความเร็วสูงเกินไป ควรลดความเร็วลง <br />
<div align="center"><img height="240" src="http://www.thailandoffroad.com/son/sonboard/picture/214255212012.JPG" width="320" /></div><strong> <span style="font-size: large;"> การจับพวงมาลัย</span></strong><br />
<span style="font-size: large;"><strong> </strong></span>จะต้องจับตำแหน่ง 2 นาฬิกา ยื่นหัวแม่โป้ง จากพวงมาลัย ขณะขับขี่ห้าสอด มือ แขน เมื่อ พวงมาลัย เมื่อดึงพวงมาลัย เมื่อเลี้ยวหรือเข้าโค้ง เนื่องจากการขับขี่ทางวิบาก รถอาจตกหลุม กระแทกพวงมาลัยอาจจะหมุนรุนแรงตีมือได้ โดยเฉพาะรถที่ไม่มีโช๊คกันสะบัดและไม่มีเพาเวอร์ <br />
<br />
<b><span style="font-size: large;">การขับขี่รถมีการตอบสนอง 3 ประการ</span></b><br />
1. การเร่ง<br />
2. การเบรก<br />
3. การเลี้ยว<br />
<br />
<b><span style="font-size: large;">การเร่ง</span></b><br />
- ค่อยๆเหยียบคันเร่ง เพื่อป้องกันล้อหมุนฟรี<br />
- การเร่งเครื่องแรงเกินไปจนกระทั่งหมุนฟรี จะมีผลเสีย ซึ่งในบางครั้งล้ออาจจะจมลงในทรายหรือโคลน ซึ่งยากต่อการดึงขึ้น หรือเกิดการสไลด์ลื่นไถลทำให้ยากต่อการควบคุม<br />
- รักษาคันเร่งให้คงที่ เป็นวิธีที่จะให้ตัวรถเคลื่อนไปด้วยความราบเรียบและนุ่มนวล ตัวคันเร่งนั้น เมื่อเราใช้เกียร์ต่ำ จะมีผลตอบสนองที่เร็วมาก ด้วยเหตุนี้เราจึงควรเหยียบคันเร่งให้อยู่ในรอบเครื่องยนต์คงที่ตลอดเวลาที่ผ่านอุปสรรคต่างๆ ไม่จำเป็นต้องใช้รอบเคร่องสูงแต่ประการใด ถ้าเครื่องยนต์มีกำลังดีแล้วเพียงรอบต่ำก็พอ<br />
- ถอนคันเร่งเบาๆ เพื่อให้การลดความเร็วเป็นไปอย่างนุ่มนวล<br />
- เมื่อต้องลดความเร็วลง ให้ใช้วิธีค่อยๆ ผ่อนคันเร่งอย่างช้าๆ ไม่ควรถอนคันเร่องอย่างฉับพลันเพราะจากอัตราทดของเฟือง จะทำให้ตัวรถเกิดการกรตุกอาจจะเสียการทรงตัว<br />
<br />
<b><span style="font-size: large;">การเบรก</span></b><br />
- พยายามเบรกอย่างนุ่มนวล ป้องกันมีการลื่นไถล<br />
- ถ้าเบรกรุนแรง อาจทำให้ล้อเกิดอาการล็อกตาย และการลื่นไถล ซึ่งอาจเป็นอันตรายย่างยิ่ง<br />
- หลีกเลี่ยงการใช้เบรก บังคับรถโดย Engine Brake จากเกียร์และระบบ 4X4 L<br />
<br />
<b><span style="font-size: large;">การเลี้ยว</span></b><br />
<br />
- ไม่ควรหักเลี้ยวมากจนเกินความจำเป็น การหมุนพวงมาลัยมากเกินไปจะทำให้เกิดการหลงไม่ทราบ ลักษณะการหักเลี้ยวของล้อ ก่อให้เกิดปัญหากับการบังคับทิศทาง<br />
- ถ้ารถเลี้ยวอาการไถลด้านข้างให้ค่อยๆ หมุนพวงมาลัยตามทิศทางที่ลื่นไถลและค่อนๆถอนเท้าออกจากคันเร่ง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการหักขืนของตัวรถ ซึ่งจะทำให้เกิดการลื่นไถลมาขึ้น จนยากต่อการแก้ไข และอาจเป็นเหตุผลให้ตัวรถเกิดการพลิกคว่ำได้<br />
- หลีกเลี่ยงการโยกไหล่และศีรษะเมื่อหมุนพวงมาลัย เพราะเมื่อตัวเรานิ่งอยู่กับที่เราสามารถบังคับรถได้ง่าย แต่ถ้าตัวเราโยกศีรษะไม่นิ่ง ก็ก่อให้เกิดปัญหากับการควบคุมบังคับ ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายได้ง่าย โดยเฉพาะยามขับรถบนเส้นทางขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ<br />
<div align="center"><img height="240" src="http://www.thailandoffroad.com/hall/picture/123255223254.jpg" width="320" /></div>natcha kapookhttp://www.blogger.com/profile/11581832152207910523noreply@blogger.com3